แนะนำวิธีป้องกันปัญหาฟันผู้ใหญ่ที่ทุกคนต้องเจอ
Posted: 21 September , 2022จากการประชุมวิชาการทันตสาธารณสุขแห่งชาติ ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 พบว่าในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 35 – 44 ปี พบปัญหาเหงือกอักเสบ มีเลือดออกง่าย มากถึง 51.0% และปัญหาโรคฟันผุที่ยังไม่ได้รับการรักษามากถึง 43.3% ในวัยผู้สูงอายุ อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาฟันผู้ใหญ่ แล้วมีวิธีดูแลรักษาอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
ปัญหาฟันผู้ใหญ่มีอะไรบ้าง
1. ฟันผุ
หากใครปล่อยให้เศษอาหารตกค้างตามซอกฟันเป็นเวลานาน ก็อาจเกิดฟันผุขึ้น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากจะทำปฏิกิริยากับเศษอาหารจนเกิดเป็นสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดกัดกร่อนผิวเคลือบฟัน สังเกตได้จากรูที่ฟัน ในกรณีที่ฟันเป็นรูเล็กและตื้น ก็สามารถอุดฟันเพื่อรักษาได้ ใช้งานได้ตามปกติ แต่หากเป็นรูใหญ่และลึกมากจนทะลุเข้าไปยังโพรงประสาท อาจจำเป็นต้องถอนออกและเสียเงินทำฟันปลอมเพื่อป้องกันปัญหาฟันล้ม, ฟันเก หรือฟันห่างในอนาคต
2. เหงือกอักเสบ
เกิดจากการละเลยหรือดูแลสุขภาพช่องปากได้ไม่ดีพอ จนเกิดคราบจุลินทรีย์ก่อตัวตามรอยต่อระหว่างฟันและเหงือกที่มีลักษณะเป็นคราบสีขาวขุ่น โดยคราบดังกล่าวกลายมาเป็นอาหารของแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียได้รับสารอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไป จะทำปฏิกิริยาเพื่อปล่อยกรดและสารพิษออกมา เกิดเป็นเหงือกบวมแดงอักเสบและมีเลือดออก ทั้งนี้โรคเหงือกสามารถรักษาให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติหากยังอยู่ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากกระดูกและเนื้อเยื่อโดยรอบฟันยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่หากปล่อยไว้นานกว่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาฟันอื่น ๆ ตามมาจนต้องถอนฟันซี่นั้นออกเพื่อรักษา
3. ฟันโยก
นอกจากจะเกิดจากปัญหาเหงือกอักเสบแล้ว ยังมีโอกาสเกิดเพิ่มขึ้นจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนสูงขึ้นขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้เอ็นยึดปริทันต์และกระดูกโดยรอบของฟันอ่อนแอลง ทำให้ฟันของคุณโยก แม้จะเกิดขึ้นชั่วคราวแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ฟันหลุดได้ เว้นแต่ว่าเหล่าคุณแม่จะมีปัญหาแทรกซ้อนตามมา เช่น เหงือกอักเสบและรำมะนาด ดังนั้นคุณแม่ทั้งหลายควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจดูสุขภาพช่องปาก และปฏิบัติตามคำแนะนำที่เหมาะขณะตั้งครรภ์
4. ปัญหากระดูกพรุน
เมื่อมวลกระดูกมีความหนาน้อยลง ส่งผลให้กระดูกทุกส่วนรวมถึงฟันเปราะบางลง สังเกตได้จากฟันที่โยกคลอนง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health) พบว่าหญิงที่มีปัญหากระดูกพรุนมีแนวโน้มที่ฟันจะหลุดออกมาได้มากกว่าผู้หญิงที่ไม่มีปัญหา 3 เท่า หรือบางกรณีอาจมีการต้านการออกฤทธิ์ของยา และยารักษาปัญหากระดูกพรุนบางตัวอาจขัดขวางการรักษาฟันโยก หรือยาบางตัวอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกตายและทำให้ฟันโยกมากขึ้นด้วย
สาเหตุของปัญหาฟันผู้ใหญ่
1. อายุเพิ่มขึ้น
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความแข็งแรงของฟันและเหงือกก็ลดลง เนื่องจากฟันถูกใช้งานเป็นเวลานาน ทำให้ผิวฟันสึกกร่อน โดยเฉพาะด้านที่ใช้บดเคี้ยวและระหว่างซอกฟัน ซึ่งใช้งานหนักกว่าฟันซี่อื่น
2. ละเลยการทำความสะอาดฟันหรือทำความสะอาดฟันผิดวิธี
หลายคนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำความสะอาดช่องปาก ส่วนใหญ่จะเป็นการแปรงฟันก่อนนอนเพียงครั้งเดียวต่อวัน เพราะคิดว่าเป็นการทำความสะอาดแบบรวดเดียวจบซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เนื่องจากการทานอาหารในแต่ละมื้อมีโอกาสที่เศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยจะติดตามซอกฟัน หากไม่กำจัดเศษอาหารเหล่านี้ออก จะกลายเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้แบคทีเรียสร้างกรดทำลายผิวเคลือบฟันของคุณ จนเกิดฟันผุตามมาและอาจต้องถอนฟันซี่นั้นออกเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
3. เลือกทานอาหารทำร้ายฟัน
- อาหารรสเปรี้ยว เนื่องจากเป็นอาหารที่มีความเป็นกรดสูง จึงยิ่งเร่งให้ฟันสึกกร่อนและกลายเป็นโพรงง่ายขึ้น
- น้ำอัดลมทุกรูปแบบ นอกจากจะมีความเป็นกรดสูงแล้ว ยังมีส่วนผสมอย่างน้ำตาลที่เร่งปฏิกิริยาให้แบคทีเรียในช่องปากสร้างกรดทำลายผิวเคลือบฟันด้วย
- ลูกอม มีส่วนประกอบสำคัญคือน้ำตาลจำนวนมาก และวิธีการทานที่ต้องอมเป็นเวลานานจนกว่าจะละลาย แถมยังทิ้งคราบน้ำตาลไว้ในช่องปากอีกด้วย เมื่อน้ำตาลเกาะอยู่บนฟันนาน ๆ จะกลายสภาพเป็นกรดทำลายผิวเคลือบฟัน ส่งผลให้เกิดฟันผุตามมา
- กาแฟ แม้ว่ากาแฟจะช่วยเพิ่มความสดชื่น แต่ก็ทำให้เกิดน้ำตาลสะสมในร่างกายจนกลายเป็นโรคอ้วนได้ด้วยเช่นกัน และด้วยสีของกาแฟที่มีสีน้ำตาลเข้ม หากดื่มเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดคราบเหลืองติดฟัน และต้องไปแก้ด้วยการฟอกสีฟัน ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายตามมา
- น้ำแข็ง เนื่องจากลักษณะที่แข็ง เวลากัดน้ำแข็งก้อนเข้าไปอาจเสี่ยงต่อฟันแตก, หัก หรือบิ่นได้ และทำให้ฟันสึกในที่สุด
4. พฤติกรรมที่เกิดจากความเคยชิน
รู้หรือไม่ว่าการใช้ฟันผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อปัญหาฟันทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการกัดฟันจากความเคยชิน (นอนกัดฟัน หรือกัดฟันเพื่อแสดงอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจ), การใช้ฟันเปิดฝาขวด, การเล่นกีฬาว่ายน้ำ (เสี่ยงที่ฟันจะสัมผัสกับน้ำคลอรีน) รวมถึงการแปรงฟันโดยใช้ยาสีฟันที่มีผงขัดมากเกินและการแปรงฟันแรงเกินไปจนเหงือกร่นและฟันสึก
5. เกิดอุบัติเหตุกับฟัน
หากเกิดอุบัติเหตุกับฟัน ยกตัวอย่างเช่น การแข่งกีฬา, การนั่งรถจักรยานยนต์ หรืออื่น ๆ ที่เสี่ยงต่อการปะทะร่างกายก็อาจทำให้ฟันผิดรูปหรือถึงขั้นสูญเสียฟันได้
มีวิธีป้องกันไม่ให้มีปัญหาฟันผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง
1. ทำความสะอาดฟันเป็นประจำ
รู้หรือไม่ว่าหลายปัญหาที่เกิดขึ้นกับฟันโดยส่วนใหญ่เกิดจากการละเลยการทำความสะอาดฟันอย่างถูกเวลาและถูกวิธี บางคนคิดว่าแปรงฟันเพียงวันละ 1 ครั้งก่อนนอนก็เพียงพอ แต่ที่จริงแล้วควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังมื้ออาหารอย่างน้อย 30 นาที – 1 ชั่วโมง ถ้าหากแปรงฟันทันทีหลังจากทานอาหาร อาจเสี่ยงต่อปัญหาฟันได้ด้วย เนื่องจากอาหารบางประเภทมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้ผิวเคลือบฟันอ่อนตัวลงอย่างน้อย 10 นาที หรืออาจนานถึง 1 ชั่วโมง หากแปรงฟันในช่วงที่ผิวเคลือบฟันอ่อนตัว จะทำให้ผิวเคลือบฟันสึกกร่อนง่ายขึ้น ทางที่ดีควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลังมื้ออาหารเพื่อเคลียร์เศษอาหารชิ้นใหญ่ออกจากช่องปากก่อน รอประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง แล้วค่อยแปรงฟัน ทั้งนี้ควรแปรงแบบแปรงแห้งเพื่อให้ฟลูออไรด์คงอยู่ในช่องปากได้นานที่สุด
2. แปรงฟันถูกวิธี
แม้ว่าจะแปรงฟันบ่อยแค่ไหน แต่หากแปรงไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดปัญหาฟันตามมาได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรแปรงฟันให้ถูกตามที่หมอฟันแนะนำ ดังนี้
- วางแปรงในแนวนอนลงบนฟันหน้า ทำมุม 45 องศา ระหว่างรอยต่อของเหงือกและฟัน
- ขยับแปรงไป-มาสั้น ๆ เบา ๆ ตามแนวฟันและเหงือกอย่างน้อย 10 ครั้ง โดยเริ่มจากแปรงด้านนอกเข้าไปด้านใน จนครบทั้งฟันบนและฟันล่าง
- ขยับแปรงไปยังฟันบนแล้วปัดลง ขยับแปรงไปยังฟันล่างแล้วปัดขึ้นอย่างน้อย 10 ครั้ง โดยแปรงจากด้านนอกเข้าไปด้านใน
- เมื่อแปรงฟันครบทุกซี่แล้ว แปรงลิ้นให้ทั่วอย่างน้อย 10 ครั้ง เนื่องจากลิ้นเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียด้วยเช่นกัน
- ใช้น้ำสะอาดเช็ดเอาคราบฟองบริเวณริมฝีปากออก
ทางที่ดีควรแปรงแห้ง หรือแปรงโดยไม่ต้องบ้วนปากด้วยน้ำ เพื่อให้ฟลูออไรด์ในช่องปากทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่สำหรับใครที่เคยชินกับการบ้วนปากด้วยน้ำมาตลอด แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำจิบเดียวก่อน เมื่อปรับตัวได้แล้วจึงเลิกบ้วนน้ำ นอกจากนี้อย่าลืมเลือกแปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม ไม่แข็งจนบาดเหงือก และเลือกยาสีฟันที่มีผงขัดในอัตราส่วนที่พอดีกับช่องปาก
3. จัดฟัน
หลายคนอาจคิดว่าการจัดฟันเหมาะสำหรับเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่จัดฟันให้เข้าที่ได้ง่าย พออายุมากขึ้นแล้วก็ไม่ควรไปจัดแล้ว ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด หากคุณมีปัญหาฟัน ไม่ว่าจะเป็นฟันห่าง, ฟันโยก, ฟันเก และปัญหาอื่นที่แก้ได้ด้วยการจัดฟัน ทางเราแนะนำให้จัดฟันเนื่องจากการจัดฟันไม่ได้จำกัดอายุ เพียงแต่ต้องพิจารณาสุขภาพช่องปากของแต่ละบุคคลควบคู่กัน ทั้งนี้การจัดฟันอาจใช้เวลาเป็นปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของคุณ ทั้งนี้การจัดฟันมีให้เลือกหลากหลายแบบ ได้แก่ จัดฟันโลหะ, จัดฟันแบบดามอน, จัดฟันเซรามิก สีเหมือนฟัน และจัดฟันใสแบบ Invisalign
4. ใส่ฟันปลอม
หากคุณสูญเสียฟัน เราแนะนำให้ติดฟันปลอมเพื่อให้ฟันในช่องปากสามารถใช้งานได้ตามปกติ ป้องกันไม่ให้ฟันซี่ใดซี่หนึ่งทำงานหนักเกินไปจนเสื่อมเร็วกว่าปกติ ในปัจจุบันมีฟันปลอมให้เลือกทั้งแบบติดแน่นกับแบบถอดได้ โดยมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังนี้
- ฟันปลอมแบบติดแน่น ทำมาจากเซรามิก จึงได้ฟันที่มีสีและความสามารถในการรับแรงบดเคี้ยวเหมือนฟันธรรมชาติ แถมยังไม่หลุดเหมือนฟันปลอมถอดได้ ไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวเยอะและไม่ทำให้สันเหงือกยุบตัว ส่วนข้อเสียมีแค่ค่าใช้จ่ายที่สูงและใช้เวลารักษามากกว่าฟันปลอมถอดได้เนื่องจากมีความซับซ้อนมากกว่า
- ฟันปลอมถอดได้ ทำมาจากพลาสติกหรือคอมโพสิต จึงมีราคาถูก ทำได้ง่าย แถมยังใช้เวลารักษาเร็วกว่าฟันปลอมแบบติดแน่น ข้อเสียอยู่ที่การใช้เวลาปรับตัวในการใช้งาน แถมยังต้องเสียเวลาถอดฟันปลอมออกมาล้างทำความสะอาด เนื่องจากมีโอกาสที่เศษอาหารติดอยู่ใต้ฐานฟันปลอม ในส่วนของการรับแรงเคี้ยวนั้นทำได้น้อย จึงต้องคอยระวังอาหารแข็งหรือเหนียว อีกทั้งเสี่ยงฟันหลุดขณะเคี้ยวอีกด้วย
5. พบหมอฟันทันทีที่มีปัญหา
หลายคนอาจคิดว่าซื้อยามาทานแก้ปวดก็คงหาย ถึงจะหายปวดก็จริง ที่จริงแล้วยาที่คุณทานเข้าไปเป็นการระงับอาการปวดชั่วคราวแต่ปัญหาฟันยังคงอยู่ หากรู้สึกปวดฟันเมื่อไหร่ให้รีบมาหาหมอทันที หรือหากใครมีเหตุให้สูญเสียฟันกะทันหันจากอุบัติเหตุ จนฟันผิดรูปไปจากเดิม อย่าลืมเก็บฟันซี่นั้นไว้แล้วรีบนำมาให้คุณหมอภายใน 30 นาที เพื่อเพิ่มโอกาสในการต่อฟันให้ติดและกลับมาใช้งานได้ตามปกติ แต่หากคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่าควรถอนฟันออกเพื่อความปลอดภัย ก็ควรถอนออกและเตรียมทำฟันปลอมเพื่อให้มีฟันไว้ใช้งานตามเดิม
บทความที่น่าสนใจ
- เพิ่มความสดใสให้รอยยิ้มของคุณด้วยการทำวีเนียร์
- รวมทุกข้อควรรู้เกี่ยวกับฟันปลอมเด็ก
- แนะนำอาหารบำรุงฟันสำหรับเด็ก
ปรึกษา นัดหมาย หรือสอบถามเพิ่มเติม
คลินิกทันตกรรม Homey Dental Clinic เป็นคลินิกที่มีบริการการดูแลฟันและสุขภาพเหงือกอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการทำฟันแบบป้องกัน เช่น เคลือบฟลูออไรด์ อุดฟัน ขูดหินปูน ขัดฟัน การทำฟันแบบรักษา เช่น ถอนฟัน รักษารากฟัน ฟันเทียม ฟันปลอม ผ่าฟันคุด และการทำฟันเพื่อความงามเช่น จัดฟันโลหะ จัดฟันดามอน จัดฟันแบบใส (invisalign) ทำรีเทนเนอร์ การฟอกสีฟันด้วย Zoom ทุกเคสดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ยังเป็นคลินิกเฉพาะทางด้านการดูแลสุขภาพฟันเด็กโดยมีทันตแพทย์เด็กที่จบมาโดยเฉพาะถึง 8 ท่าน ทำให้สามารถรับมือกับปัญหาเด็กกลัวหมอฟัน เพราะที่นี่เน้นการดูแลเด็กอย่างเป็นมิตร บรรยากาศเหมือนอยู่ที่บ้าน ทำให้เด็กสามารถมาหาหมอฟันอย่างมีความสุข เปิดประสบการณ์ใหม่ให้เด็กไม่กลัวการรักษาฟัน